กีฬาแห่งความสุขอย่างหนึ่งของแฟนกีฬาชาวไทย โดยเฉพาะในรายการแข่งขันแห่งมวลมนุษยชาติ อย่างการแข่งขันโอลิมปิก ก็คือกีฬามวยสากลสมัครเล่นนั่นเอง เนื่องจากนักชกชาวไทย สามารถทำผลงานได้ดี ในหลายต่อหลายครั้งในรายการนี้ และสามารถคว้าเหรียญโอลิมปิก มาฝากแฟน ๆ ชาวไทยอยู่เสมอ และแน่นอนว่าอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้แฟนมวยชาวไทยรักในกีฬาชนิดนี้ ก็คือเหรียญทองโอลิมปิก เหรียญแรกของประเทศไทย ก็มาจากกีฬามวยสากลสมัครเล่นนี่เอง
เชื่อว่าแฟนมวยชาวไทยหลาย ๆ คน ยังคงจดจำบรรยากาศ ช่วงที่มีการจัดการแข่งขัน โอลิมปิก แอตแลนตา 1996 และลีลาการชกของ ฮีโร่เหรียญทองอย่างสมรักษ์ คำสิงห์ได้อย่างดี โดยเฉพาะบรรยากาศในขณะที่มีการถ่ายทอดสด นัดชิงชนะเลิศเหรียญทองประวัติศาสตร์ ประเทศไทยเงียบยังกับเป็นเมืองร้าง เพราะทุกคนต่างนั่งรวมตัวกันหน้าจอทีวี ทั้งคนเฒ่าคนแก่ ลูกเด็กเล็กแดง และทุกเพศทุกวัย ต่างรวมตัวกันเชียร์อย่างพร้อมหน้า เรียกว่าเป็นช่วงเวลาของคนทั้งชาติเลยก็ว่าได้ แล้วสมรักษ์ คำสิงห์ก็ไม่ทำให้บรรดาแฟนมวยทางบ้านผิดหวัง เขาสามารถคว้าเหรียญทองแรก ในประวัติศาสตร์ประเทศ ในวันที่ 5 สิงหาคม 1996
หลังจากนั้นทำให้เกิดกระแสตื่นตัว ในวงการมวยสากลสมัครเล่นบ้านเราอย่างมาก ทั้งในส่วนของแฟนมวย และนักกีฬา ทำให้นักกีฬาคลื่นลูกใหม่ ถูกส่งเสริมและพัฒนาเป็นอย่างมาก และมีนักชกชาวไทย ที่เปลี่ยนสายจากมวยไทย และมวยสากล มาชกในประเภทนี้แทน และขุนพลเสื้อกล้ามทีมชาติไทย ก็ไม่เคยไร้นักชกฝีมือดี สลับสับเปลี่ยนกันขึ้นมา เป็นความหวังของชาวไทย และสามารถคว้าเหรียญรางวัล มาฝากแฟนมวยได้อย่างต่อเนื่อง โดยแบ่งเป็นเหรียญทองแดง 6 เหรียญ จากพเยาว์ พูนธรัตน์, ผจญ มูลสัน, อาคม เฉ่งไล่ (สามท่านนี้ก่อนสมัยสมรักษ์ คำสิงห์), วิชัย ราชานนท์, พรชัย ทองบุราณ และสุริยา ปราสาทหินพิมาย เหรียญเงินอีก 4 ครั้ง จากทวี อัมพรมหา (ขาวผ่อง สิทธิชูชัย), วรพจน์ เพชรขุ้ม, มนัส บุญจำนง และแก้ว พงษ์ประยูร ส่วนนักชกที่ก้าวไปถึงเหรียญทองก็มีอีกถึงสามคนคือ วิจารณ์ พลฤทธิ์, มนัส บุญจำนง และสมจิตร จงจอหอ นั่นเอง
สำหรับโอลิมปิก โตเกียว 2020 นี้ นักชกทีมชาติไทย ก็ยังสามารถคว้าสิทธิ์ เข้าร่วมชิงเหรียญโอลิมปิก ได้อย่างต่อเนื่อง โดยในรอบคัดเลือกโซนเอเชีย – โอเชียเนีย ขุนพลเสื้อกล้ามทีมชาติไทย สามารถคว้าโควตามาได้ถึง 4 รุ่นจากการส่งเข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 6 รุ่น ได้แก่นักชกจอมเก๋าอย่าง จ.ส.อ.ฉัตร์ชัยเดชา บุตรดี ที่คว้าโควต้าไปเล่นโอลิมปิกเป็นครั้งที่สามแล้วของเจ้าตัว ตามมาด้วย อส.ทพ.สุดาพร สีสอนดี จากรุ่น 60 กก. หญิง และนักชกดาวรุ่งเลือดใหม่อีกสองคนคือ นายธิติสรรค์ ปั้นโหมด อายุ 19 ปี และนางสาวใบสน มณีก้อน วัย 18 ปี ซึ่งถือเป็นความหวังใหม่ของนักชกไทย อย่างแท้จริง นอกจากนักชกที่คว้าสิทธิ์ไปแล้วทั้ง 4 คน ยังเหลือการคัดเลือกอีกหนึ่งครั้งที่กรุงปารีส ซึ่งแฟนมวยชาวไทย ยังคงต้องเอาใจช่วย ให้นักชกไทย คว้าตั๋วโอลิมปิกเพิ่มมาให้ได้ตามเป้า ที่ 3-4 รุ่น เพื่อเพิ่มโอกาสคว้าเหรียญของทัพนักกีฬาไทย
เชื่อว่าโอลิมปิก โตเกียว 2020 ครั้งนี้ ทัพนักชกจากประเทศไทย จะสามารถนำเหรียญรางวัล จากรายการที่ยิ่งใหญ่นี้ กลับมาฝากแฟนมวยชาวไทยได้ แน่นอนว่าหากเป็นไปได้ แฟน ๆ ชาวไทยคงอยากจะเห็นไปถึงเหรียญทอง ให้บรรยากาศ เดิม ๆ ในนัดชิง ช่วงเวลาแห่งความสุข ของแฟนมวยชาวไทย กลับมาให้เห็นอีกซักครั้ง สมกับที่แฟน ๆ ตั้งตารอ
เครดิตภาพ : https://www.boksnieuws.com/amateur_boxing_first.html